เบียร์ IPA หรือ Indian Pale Ale เป็นเบียร์หนึ่งชนิดที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นเบียร์ที่หลายคนต่างชื่นชอบและหลงรัก แต่เบียร์ชนิดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมจึงเป็น IPA หรือเบียร์ชนิดนี้มีต้นกำเนิดที่อินเดีย วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
ก่อนจะมาเป็น IPA
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 19 ทางผู้ผลิตเบียร์ในประเทศอังกฤษต้องการที่จะขายเบียร์ให้กับชาวอินเดีย แต่ติดปัญหาสำคัญปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเบียร์จากอังกฤษจะข้ามน้ำข้ามทะเล ผ่านกาลเวลาเป็นเวลากว่าหลายเดือนได้อย่างไร เนื่องจากหากปล่อยไว้นานเข้าเบียร์จะยิ่งเสียรสชาติลงไปเรื่อย ๆ ปัจจัยเกิดได้จากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฮอป หรือการบูดตามธรรมชาติ ทางผู้ผลิตจึงได้คิดค้นวิธีการที่แปลกใหม่และไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการเพิ่มฮอปลงไปในเบียร์ที่จะขนส่งไปยังประเทศอินเดีย
วิธีการทำเบียร์แบบนี้เองทำให้เบียร์ IPA ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมากในอินเดีย เพราะเรียกได้ว่าเบียร์ตัวนี้ได้กลายมาเป็นเครื่องดื่มดับกระหายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศค่อนข้างร้อนและรสชาติอาหารที่รุนแรงและเต็มไปด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ
IPA ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเบียร์ IPA จะเป็นเบียร์ที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน แต่เบียร์ตัวนี้กลับถูกลืมเลือนและสูญหายไปเกือบตลอดศตวรรษที่ 20 ทางผู้ผลิตเบียร์ได้ฟื้นคืนชีพเบียร์ตัวนี้อีกครั้งมาในช่วงปี 1990 และก็เป็นอย่างที่เราได้เห็น เบียร์ตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเบียร์ที่อร่อยอยู่แล้ว บวกกับผู้ผลิตพี่ชอบการผสมผสานต่าง ๆ ที่แปลกใหม่ ทำให้เบียร์ IPA มีรสชาติและสีสันที่หลากหลาย และยิ่งในปัจจุบันก็มีความหลากหลายกว่าที่เคยมีมาหลายเท่า
โลกแห่ง IPA
ส่วนใหญ่แล้วเบียร์ IPA มักจะมีความหวานและความขม มีกลิ่นที่ค่อนข้างเฉพาะตัว อาจจะเป็นกลิ่นส้ม กลิ่นผลไม้เมืองร้อน หรือกลิ่นคล้ายกับไม้สน เนื่องจากเบียร์ IPA นั้นมีรสชาติที่เข้มข้น หนักแน่น และออกไปทางขมเล็กน้อย ดังนั้นอาหารที่กินด้วยจึงมีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีรสจัด อาหารรสเผ็ด อาหารที่มีเครื่องเทศมากมาย หรือพวกที่เป็นแป้งหนัก ๆ
เบียร์ IPA นั้นจะมีการใช้มอลต์มากมายหลากหลายชนิด ตั้งแต่มอลต์ที่ให้สีค่อนข้างซีดจนไปถึงสีเข้ม มีตั้งแต่สีเหลืองออกนมไปจนถึงสีน้ำตาลไหม้ แต่ไม่ว่าจะสีเข้มหรือสีอ่อน เบียร์ชนิดนี้จะมีการใส่มอลต์เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เบียร์ตัวนั้นมีรสชาติที่หวานและเข้มข้น บางตัวกินเข้าไปถึงกับรู้สึกเหมือนกินน้ำผลไม้หรือกินลูกอมได้เลย
สัมผัสแรกเมื่อเราดื่มเบียร์ IPA นี้เข้าไปคือความขมและกลิ่นที่เข้มข้น สิ่งนี้เองเป็นคุณสมบัติของเบียร์ชนิดนี้อย่างแท้จริง โดยเบียร์ชนิดนี้จะมีการใส่ฮอปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากทำให้เบียร์ขมแล้วยังทำให้มีกลิ่นผลไม้ที่ชัดเจนและหอมฟุ้งอีกด้วย
เรื่องน่ารู้
เนื่องจากเบียร์ IPA เป็นเบียร์ที่มีการใช้ฮอปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากเราสังเกตบนฉลากของกระป๋องเบียร์ IPA เราจะเห็นผู้ผลิตระบุพันธุ์ของฮอปไว้อย่างชัดเจน ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ เช่น Citra, Mosaic, Centennial, Chinook และ Cascade ซึ่งสิ่งนี้เองก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เบียร์ IPA กลับมามีชื่อเสียงเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อน
เบียร์ IPA บางตัวจะเป็นเบียร์ Single-hopped ซึ่งหมายถึงการใส่ฮอปตัวเดียวลงไปในเบียร์นั้น แต่ถึงจะใส่ลงไปตัวเดียว รสชาติและกลิ่นที่ได้ก็มีความหลากหลายอยู่ไม่น้อย เบียร์เหล่านี้เป็นเบียร์ที่เราจะได้เรียนรู้รสชาติของฮอปสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแบบเต็ม ๆ ซึ่งเป็นเบียร์ที่น่าหามาลองเป็นอย่างมาก
เบียร์ IPA บางตัวจะใช้ฮอปแบบแห้ง และจะมีการเติมเพิ่มลงไปในช่วงท้ายของกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ เราเรียกกระบวนการแบบนี้ว่า “double dry-hopped”
IPA 3 สไตล์
หากจะกล่าวว่าเบียร์ IPA มีต้นกำเนิดที่อังกฤษก็ไม่ได้ผิด แต่หากจะกล่าวว่ากำเนิดในอินเดียก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองมันอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นการจัดจำแนกสไตล์ของเบียร์ IPA เราจะใช้เบียร์ IPA เกิดใหม่ในทวีปอเมริกาในการจำแนก โดยการแบ่งเป็นฝั่งตะวันตก และ ฝั่งตะวันออก โดยจะแบ่งได้ 3 สไตล์ดังนี้
English-style IPA
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีการขึ้นภาษีวัตถุดิบในการผลิตเบียร์ ดังนั้นเบียร์ IPA สไตล์อังกฤษจึงมีการลดวัตถุดิบสำคัญอย่างฮอปลงมาเล็กน้อย เพื่อให้เบียร์มีรสชาติกลมกล่อมและขมน้อยลง ความหวานของมอลต์จะแทรกเข้ามาในบางครั้ง
West Coast IPA
เบียร์ IPA สไตล์นี้กำเนิดขึ้นบนชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ (ตั้งแต่เกาะบริเตนใหญ่, โคลัมเบีย ลงมาจนถึงแคลิฟอเนีย) IPA สไตล์นี้จะมีความหนักแน่นและรุนแรง ถึงจะมีการใช้มอลต์ที่น้อยกว่า แต่ใส่ฮอปแบบจัดเต็มมาก
East Coast IPA:
IPA ตัวนี้จะไม่เหมือนกับ IPA ของฝั่งตะวันตก จะไม่ขมเท่า แต่ก็มีความขมกว่า IPA สไตล์อังกฤษ เรียกได้ว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างสองรสชาติ สร้างขึ้นใน New England สีของเบียร์จะค่อนข้างซีด IPA สไตล์นี้จะให้รสชาติเหมือนกับผลไม้ ซึ่งหลายคนบอกว่าเบียร์ตัวนี้มีความ juicy มาก
IPA แบบอื่น ๆ
บางคนไม่ได้แบ่งเบียร์ IPA ไว้เป็น 3 สไตล์อย่างที่กล่าวมา แต่จะมีการเรียกเบียร์ IPA แต่ละตัวในแบบต่าง ๆ มากมาย ดังนี้
Session IPA
หมายถึงเบียร์ IPA ที่มีความสดชื่นและมีรสชาติที่บางเบา
Hazy IPA
IPA ชนิดนี้คือ East Coast IPA ที่มีสีขุ่น อาจเกิดจากการใช้ฮอปแห้งในปริมาณที่ค่อนข้างมาก หรืออาจใช้วัตถุดิบที่เป็นมอลต์ที่มีโปรตีนสูง เช่น ข้าวโอ๊ต หรือข้าวสาลี ซึ่งการที่มองมีโปรตีนสูงนั้นทำให้เบียร์มีสีขุ่น อีกทั้งยังทำให้แสงไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเบียร์ของเราได้
White IPA
เบียร์ชนิดนี้จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างวีทเบียร์ของเบลเยี่ยมและเบียร์ IPAสไตล์อเมริกาเหนือ
Black IPA
เบียร์ชนิดนี้เป็นเบียร์จากฝั่ง West Coast มีรสชาติหวานเหมือนกับลูกอมหรือคาราเมลที่ได้มาจาก Dark Malt เหมาะมากกับการดื่มในวันที่อากาศหนาวเย็น
Double IPA
หรือบางคนอาจเรียกว่า DIPA คือการเพิ่มวัตถุดิบต่าง ๆ ให้เบียร์ IPA ที่เข้มข้นอยู่แล้วมีความเข้มข้นสูงกว่าปกติเข้าไปอีก
การจับคู่กับอาหารต่าง ๆ
อย่างที่บอกว่าเบียร์ IPAสามารถเข้ากันได้กับอาหารหลากหลายมากมายเป็นอย่างมาก IPA สามารถเข้ากันได้กับอาหารรสเผ็ด ที่มีการผ่านความร้อนสูง และมีกลิ่นของสมุนไพรและเครื่องเทศมากมายหลากหลาย สามารถที่จะกินคู่กับผลไม้ต่าง ๆ เนื่องจากแต่เดิมแล้วเบียร์นั้นมีกลิ่นของผลไม้อยู่แล้ว โดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อนอย่างบ้านเรา สับปะรด มะม่วง หรือมะละกอ อาหารจําพวกอาหารจำพวกแป้งและอาหารที่มีไขมันสูงก็สามารถกินคู่ด้วยกันได้ หรืออาจเป็นอาหารตามสั่งบ้านเรา คืออาหารมื้อหนักทั้งหมด คุณสามารถกินคู่กับเบียร์ได้ทั้งนั้น
แม้แต่เฉพาะกับเบียร์ IPA เองก็ยังมีความหลากหลายมากมาย หากมีโอกาสอยากให้คุณได้ลองหลายตัว ความหอมและความสดชื่นที่ได้จากเบียร์ชนิดนี้เป็นอะไรที่เราจะลืมไม่ลงอย่างแน่นอน อีกทั้งยังกินคู่กับอาหารได้มากมายหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารไทยเราที่มีรสชาติค่อนข้างจัดและเผ็ด เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้วันดี ๆ ของคุณดียิ่งขึ้นไปอีก
เครดิตภาพ
https://www.bonappetit.com/story/ipa-beer-styles
บทความที่อาจสนใจ 7 สเต็ป จิบเบียร์ ขั้นเทพ